Support
4lagroup
ติดต่อ T.086-4624228
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

วิธีรักษา และการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง

วันที่: 20-08-2018

 

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ 

 

T.086-4624228 

 

หรือ

 

สแกนบาร์โค๊ด เพื่อเพิ่มเพื่อนไลลน์

 

 

 

 

 

คลิ๊ก Add Friends เพื่อเพิ่มเพื่อนไลน์

 

 

 

ภูมิคุ้มกัน ที่แข็งแรง คือเกาะป้องกันร่างกายจากภายในที่ดีที่สุด

 

 

 

 

คลิ๊กเพิ่มเพื่อน

 

มะเร็ง 

โรคร้ายที่สามารถรักษาให้หายขาดได้

หากตรวจพบในระยะเริ่มแรก"

 

 

มะเร็ง สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ 

 

จากรายงานของสมาคมต่อต้านโรคมะเร็งของอเมริกาได้เคยรายงานไว้ว่า ใน

 

ปัจจุบันนี้มีประชากรชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากกว่า 5 ล้านคนซึ่งเคยเป็นโรค

 

มะเร็งมาก่อนและได้รับการรักษาให้หายเรียบร้อยดีแล้วเป็นเวลาเกินกว่า5 ปี

 

ละทุกรายที่รอดชีวิตนี้ เป็นผู้ป่วยมะเร็งในระยะแรกเริ่มทั้งสิ้นผู้ป่วยมะเร็งที่มีชีวิต

 

รอดหลังการรักษาเกินกว่า 5 ปี ถือว่า "หาย" การกำหนดระยะเวลา 5 ปี

 

เพราะว่าโรคมะเร็งส่วนใหญ่มักจะกำเริบหรือกลับเป็นใหม่อีกภาย

 

ในระยะเวลา 5 ปีหลังรักษา

 

 

สำหรับในประเทศไทย จากรายงานของสถาบันมะเร็งโรงพยาบาลศิริราชพบว่า

 

ผู้ป่วยมะเร็งในระยะแรกเริ่มได้รับการรักษาจนหายขาด และยังมีชีวิต

 

และปฏิบัติการงานได้อย่างสมบูรณ์เหมือนบุคคลทั่วๆไปเป็นจำนวนมากมายหลัง

 

การรักษา 10-20 ปี และต่อมาอาจจะเสียชีวิตจากสาเหตุ

 

หรือโรคอื่นที่มิใช่จากโรคมะเร็ง

 

 

การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง แพทย์มีจุดมุ่งหมายของการรักษา 2 ประการ คือ 

 

1. การรักษาเพื่อมุ่งหวังให้โรคหายขาด

 

การรักษาจะอยู่ในวงจำกัดที่โรคมะเร็งยังอยู่ในระยะเพิ่งเริ่มเป็นเท่านั้น

 

วิธีการรักษาไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด หรือการใช้รังสีรักษาก็ตามจะต้องอาศัย

 

ผู้เชี่ยวชาญ  โดยเฉพาะอาศัยเครื่องมือ และเทคนิคของ

 

การรักษาอย่างละเอียด และแม่นยำ 

 

2. การรักษาเพื่อบรรเทาอาการชั่วคราว 

 

สำหรับผู้ป่วยอยู่ในระยะที่เป็นมากแล้ว ซึ่งสำหรับผู้ป่วยแพทย์จะให้การรักษา

 

แบบนี้มากกว่า 90%การรักษามิได้มุ่งหวัง ที่จะทำให้โรคหายขาดแต่เพื่อทำให้

 

ผู้ป่วยสบายขึ้นชั่วคราว หรือทุเลาจากอาการต่างๆ เท่านั้น

 

 

วิธีการรักษาโรคมะเร็ง ในปัจจุบันมีใช้กันอยู่ 6 วิธี คือ

 

1. การผ่าตัด 

 

เป็นวิธีการรักษาที่ได้ทั้งการมุ่งหวังให้โรคหายขาดในกรณีที่โรคยังเป็นน้อย

 

และเพื่อเป็นการบรรเทาอาการชั่วคราว ในกรณีที่โรคเป็นมากแล้ว

 

 

ในปัจจุบันนี้ศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งจะต้องชำนาญและ

 

ฝึกฝนมาทางด้านนี้โดยเฉพาะ

 

วิธีการผ่าตัด อาจจะตัดเอาเฉพาะก้อนมะเร็งออกเท่านั้น หรือเลาะเอาต่อมน้ำ

 

เหลือง และเนื้อเยื่อที่ดีบริเวณใกล้เคียงออกไปด้วย นอกจากจะผ่าตัดโดย

 

ใช้มีดผ่าธรรมดาแล้วในปัจจุบันยังได้มีวิวัฒนาการโดยการผ่าตัดด้วยมีดไฟฟ้า

 

การผ่าตัดโดยใช้ความเย็น ระหว่าง -๒๐ ถึง - ๑๕๐ องศาเซสเซียส การ

 

ผ่าตัดร่วมกับการใช้ยาจี้ให้ผิวหนังไหม้ในการรักษามะเร็งผิวหนัง

 

และการใช้แสงเลเซอร์แทนมีดผ่าตัด

 

 

2. รังสีรักษา 

 

เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ได้ทั้งการมุ่งหวังให้โรคหายขาด

 

และเพื่อการบรรเทาอาการชั่วคราวผู้ป่วยมะเร็งมักจะได้รับการรักษาด้วยรังสี

 

เพราะอยู่ในระยะที่เป็นมากแล้ว และการรักษาด้วยรังสี เพื่อบรรเทาอาการ

 

 

รังสีที่ใช้รักษาโรคมะเร็งมี 2 กลุ่มใหญ่ คือ 

 

2.1 รังสีโฟตอน 

 

ซึ่งมีพลังงานทะลุทะลวงระหว่า 1.24 กิโลโวลต์ ถึง 12.4 เมกะโวลต์

 

มีขนาดของคลื่นรังสีระหว่าง 10-0.001 อังสตรอม

 

 

2.2 รังสีอนุภาค 

 

ส่วนใหญ่ได้จากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี หรือจากเตาปฏิกรณ์ปรมาณู

 

และโดยทั่วไปแล้ว รังสีพวกนี้จะมีพลังงานทะลุทะลวง

 

และอีกแบบหนึ่ง อยู่ในรูป ของต้นกำเนิดรังสี อยู่ภายในร่างกายของผู้ป่วยได้แก่

 

การฝังแร่เรเดียมในการรักษามะเร็งในช่องปาก

 

การสอดใส่แร่เรเดียมในการรักษามะเร็งปากมดลูก หรือการใช้ไอโอดีน 131

 

 รับประทานในการรักษามะเร็งต่อมไธรอยด์ เป็นต้น

 

 

 

 

3. การใช้สารเคมีบำบัด 

 

การรักษาในรูปของการใช้ยารักษามะเร็งกำลังเป็นที่สนใจ และมีบทบาทสำคัญ

 

ในปัจจุบันนี้ มีมะเร็งหลายชนิด ที่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยา

 

แต่ส่วนใหญ่จะใช้เฉพาะในรายที่เป็นมากแล้ว เพื่อเป็นการรักษา

 

เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น

 

การใช้ยารักษามะเร็ง อาจจะแบ่งได้ตามวิธีใช้ คือ 

 

ก. การใช้ยาเฉพาะที่ เช่น ในรูปของการใช้ทา การฉีดเข้าไขสันหลัง 

 

ข. การใช้ยาให้ซึมซาบทั่วร่างกาย เช่น ในรูปของการใช้รับประทาน

 

การใช้ฉีดยาเข้าหลอดเลือด 

 

 

หรืออาจจะแบ่งตามรูปแนวการรักษา คือ 

 

ก. ใช้เป็นการรักษาหลักคืใช้ยา(ชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได้) รักษาเพียงวิธีเดียว

 

อาทิเช่นการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว 

 

ข. ใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น เพื่อหวังผลการรักษามากขึ้น เช่น การให้ยารักษา

 

ภายหลังการผ่าตัด เพื่อหวังในการป้องกันการแพร่กระจาย

 

ยารักษามะเร็งในรูปของยารับประทานหรือยาฉีดยารักษามะเร็ง

 

ในรูปของยารับประทานหรือยาฉีด

 

การใช้ยา อาจจะใช้ยาเพียงชนิดเดียว หรือหลายชนิดร่วมกันก็ได้

 

สำหรับในประเทศไทยการรักษาโดยวิธีนี้ยังอยู่ในวงจำกัด

 

เพราะยาพวกนี้ ส่วนใหญ่มีราคาแพงมาก บางชนิดก็ยังไม่มีจำหน่าย

 

และมีพิษรุนแรง และมีผลแทรกซ้อน จากการรักษามาก

 

 

4. การใช้การรักษาทั้ง 3 วิธีกล่าวมาแล้วร่วมกัน 

 

ในปัจจุบันนี้การรักษาโรคมะเร็ง ได้ก้าวผ่านการรักษาตามอาการ และการรักษา

 

เพื่อบรรเทาเข้ามาสู่การรักษา เพื่อมุ่งหวังให้โรคหายขาดมากขึ้น

 

แต่เดิมการรักษามักจะกระทำโดยแพทย์เฉพาะทางฝ่ายเดียว

 

เมื่อการรักษาล้มเหลว

 

จากวิธีใดวิธีหนึ่งแล้ว จึงเปลี่ยนมาเป็นอีกวิธีหนึ่ง

 

ทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร ในปัจจุบันนี้

 

จึงนิยมใช้วิธีการรักษาหลายๆ วิธีร่วมกัน เพื่อให้ผลการรักษาดีขึ้น หรือสะดวกขึ้น

 

 

5. การรักษาโดยการเสริมภูมิคุ้มกัน(ภูมิคุ้มกันบำบัด

 

เป็นวิธีการรักษาที่เพิ่งจะสนใจ และเริ่มใช้กันในวงการแพทย์เมื่อไม่นานมานี้

 

และนับวันจะยิ่งมีบทบาทมีความสำคัญในการรักษาโรคมะเร็ง

 

มากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยหลักที่ว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งนั้น

 

เนื่องจากว่าร่างกายไม่สามารถที่จะค้นพบว่า

 

ที่ผิวของผนังด้านนอกของเซลล์มะเร็ง  มีแอนติเจนที่เรียกว่า ทีเอเออยู่

 

หรือในกรณีที่ร่างกายสามารถจะค้นพบแอนติเจนนี้

 

แต่ร่างกายไม่สามารถจะสร้างภูมิคุ้มกัน หรือแอนติบอดีไปต่อต้าน

 

หรือทำลายแอนติเจนนี้จะเป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายล้มเหลว

 

หรือมีอะไรไปยับยั้งในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

 

ฉะนั้น การกระตุ้นให้ร่างกายสามารถจะค้นหาแอนติเจนจากเซลล์มะเร็งได้ห

 

รือการกระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นจะโดยทางตรง

 

หรือทางอ้อมก็ตาม ก็น่าที่จะให้มะเร็งที่กำลังเป็นผู้อยู่ในบุคคลผู้นั้นมีการฝ่อตัวลง

 

หรือหยุดการเจริญเติบโต หรือโตช้าลงการทำวัคซีนมะเร็ง สำหรับฉีดเข้าร่างกายผู้ป่วยมะเร็ง

 

การทำวัคซีนมะเร็งสำหรับฉีดเข้าร่างกายผู้ป่วยมะเร็ง

 

และปัจจุบัน จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ สำหรับ เสริมภูมิคุ้มกัน

 

ที่เรียกว่า Transfer Factor (ทรานสเฟอรฺ์ แฟกเตอร์ )

 

 

 

 

 

Transfer Factor

 

เป็นสารสกัดธรรมชาติ 100% ไม่มีผลข้างเคียง , ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

 

ใช้คู่กับการรักษาทางหมอได้ ช่วยลดผลข้างเคียงของรังสีและเคมี 

 

ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ

 

ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ NK-CELL  

 

สามารถช่วยต้านเชื้อโรค อื่นๆได้ ทรานสเฟอร์ แฟคเตอร์ เป็น นวัตกรรม

 

ที่มีผลงานวิจัยรองรับ

 

 

 

 

Transfer Factor เหมาะกับใคร    

 

ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง  หรือ เป็นผู้ป่วยมะเร็ง ทุกชนิด

 

ผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงการรักษาทางแพทย์แผนปัจุบัน ทุกรูปแบบ

 

ผู้ป่วย ที่ต้องการเสริมสุขภาพ เตรียมความพร้อม ของร่างกายก่อน รับเคมีและรังสี

 

ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรับการรักษาโดยเคมีบำบัดหรือรังสี

 

เพื่อลดผลข้างเคียงเคมีบำบัด

 

 

 

บริการให้คำปรึกษา การใช้ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ในการเสริมระบบ

ภูมิคุ้มกันผู้ป่วยและใช้ร่วมกับการรักษาทางแพทย์

 

 

 

Tel.086-4624228 

สแกนบาร์โค๊ดเพื่อเพิ่มเพื่อนไลน์

คลิ๊ก Add Friends เพื่อเพิ่มเพื่อนไลน์

 

ดูข้อมูลผลิตภัณฑ์ สำหรับดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยมะเร็ง คลิ๊ก

 

 

 

 

 

 

Transfer Factor  ต้านมะเร็งได้อย่างไร?

 

 

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ไม่ได้มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง  แต่ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer factor) จะไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันเข้าโจมตีเซลล์มะเร็ง โดย ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ จะกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานของ เซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิด T lymphocyte (Natural Killer cell, NK cell) หรือเซลล์เพชฌฆาต ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิดที่มีหน้าที่โจมตี ทำลาย เซลล์มะเร็ง ไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต เชื้อรา และสิ่งแปลกปลอม โดยเฉพาะ

 

 

ในร่างกายคนปกติ จะมีปริมาร NK cells ที่เพียงพอ และมีประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันสูง หากแต่ผู้ที่อ่อนแอ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็น โรคมะเร็ง โรคติดเชื้อ และสิ่งแปลกปลอมได้ง่าย ทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย

 

 

 

 

 

        จากการศึกษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง 10 ราย ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells ต่ำกว่าระดับ 20  พบว่าหลังจากได้รับ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ประมาณ 14 วัน  ก็สามารถวัดค่าระดับประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells ได้สูงขึ้นกว่าระดับ 20 ทุกคน ยกเว้นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่วัดได้ระดับ 19.5  ซึ่งในคนปกติจะต้องมีประสิทธิภาพสูงกว่าระดับ 20

 

        ประสิทธิภาพการทำงานของ Nk cells  มีความสำคัญมาก พบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งเกือบทั้งหมด มีระดับประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells ต่ำกว่าระดับ 20 (0-20) รวมทั้ง นู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ  โรคปวดเมื่อย (Fybromyalgia), โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatique Syndrome), โรคภูมิแพ้ตัวเอง (Autoimmune Disorder) ได้แก่ โรคปวดข้อทั่วร่างกาย รูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis),  โรคลูปัส (Lupus , SLE) และ Multiple Sclerosis ก็มีประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells ต่ำ (ระดับ 10-30) เช่นกัน

        ผู้ป่วยเรื้อรัง จากการติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อแบคทีเรีย Staph, ไซนัสอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, ต่อมทอลซิลอักเสบ, ปอดบวม, หูอักเสบ เป็นตัน ก็ล้วนพบว่า มีระดับประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells ต่ำแทบทั้งสิ้น ระหว่าง 10-50 และ ผู้ติดเชื้อไวรัส ชนิดต่างๆ เช่น  EBV, CMV,HPV ก็มีระดับต่ำเช่นกัน ราว 0-20

 

 

        ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง จะมีระดับประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells สูงในระดับ 50-150  และประสิทธิภาพนี้จะลดลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น จาก 20-80 ปี ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง และการติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ตามช่วงอายุที่เพิ่มมากขึ้น

 

 

        ดังนี้ จึงกล่าวได้ว่า ผู้ป่วย โรคมะเร็ง และโรคติดเชื้อ ที่มีภาวะประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells ต่ำ จะมีโอกาสรอดชีวิตต่ำ  หากแต่ถ้า ผู้ป่วยสามารถเพิ่มระดับประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells ให้สูงขึ้น โอกาสรอดชีวิต หายขาด ก็มีสูงกว่า [American Medical Review]

 

 

        จากการศึกษาในผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป จำนวน 3642 คน  พบว่า ผู้ที่มีระดับประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells สูง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็น โรคมะเร็ง ต่ำ  ในขณะที่ ผู้ที่มีระดับประสิทธิภาพการทำงานของ NK cells ต่ำ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็น โรคมะเร็ง สูงเช่นกัน 

 

 

  (หมายเหตุ:การใช้ทรานสเฟอร์ แฟคเตอร์ ไม่ใช่ยารักษาและผลการใช้ ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน)

 

สอบถาม รายละเอียด เกี่ยวกับ Transfer Factor ประโยชน์และวิธีการใช้  ทรานสเฟอร์แฟกเตอร์ 

สำหรับเสริมสร้าง ระบบภูมิคุ้มกัน และเสริมสุขภาพ หรือแก้ปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันได้ที่

Tel.086-4624228 หรือ 081-3541158

 

 

 

สอบถาม รายละเอียด เกี่ยวกับ Transfer Factor ได้ที่ 
Tel.0864624228 หรือ @4lifethaitf

 

 
 

ส่วนประกอบของ Transfer Factor   และคุณประโยชน์การใช้

(สามารถเสริมประสิททธิภาพ การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้สูง)

 

 

 

 

นำ ทรานสเฟอร์แฟคเตอร์ มาผสมกับสารสกัด ของสมุนไพรที่มีประโยชน์

 

ในสูตร ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์

 

 

1.ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor)

 

คือ  ตัวเสริมภูมิคุ้มกันที่ล้ำนำหน้าธรรมชาติ

 

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor) : โมเลกุลขนาดเล็กที่ช่วยส่งข่าวสารทางภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นจากกรดอะมิโนที่ต่อเนื่องกันโดยส่งผ่านสัญญาณภูมิคุ้มกันระหว่างเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วยด้วยกัน หรือเรียกสั้นๆว่า "ความทรงจำของภูมิคุ้มกันระดับโมเลกุล"

 

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor) : ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ คือโปรตีนขนาดเล็กที่“ส่งผ่าน”ความสามารถในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันจากผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแล้วไปยังผู้รับซึ่งไม่มีภูมิคุ้มกัน”(วารสาร Molecular Medicine ฉบับวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2000 (พ.ศ.2543)

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor) : ไม่ใช่วิตามินไม่ใช่แร่ธาตุ ไม่ใช่ฮอร์โมนไม่ใช่สมุนไพรและไม่ใช่ยา(ไม่มีสิ่งแปลกปลอมไม่มีสิ่งที่มีพิษ)

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor) : เป็นกุญแจสำคัญของสุขภาพ ในการสร้างความแข็งแกร่งในระบบป้องกันของร่างกาย โดยใช้ภูมิคุ้มกันของตัวเองตามธรรมชาติ

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor) : มีน้ำหัวน้ำนมแรกคลอดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด 

 

 

 

 

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ : เปรียบเหมือนครูของภูมิคุ้มกัน

 

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ คือ สายโมเลกุลเปปไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอมิโน จำนวน 44 ตัว (โดยประมาณ) ซึ่งมีขนาดเล็กมาก ทำหน้าที่ช่วยส่งข่าวสารทางภูมิคุ้มกัน โดยส่งผ่านสัญญาณภูมิคุ้มกันระหว่างเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย กล่าวคือ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ทำหน้าที่ให้ความรู้ในการต้านทานเชื้อโรคและสิ่งแปกปลอมกับเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย

 

ลักษณะการทำงานของทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ อธิบายให้ง่าย คือ ความสามารถในการส่งผ่านภูมิคุ้มกันแบบวัคซีนเม็ด จากผู้ให้ที่มีภูมิคุ้มกันไปสู่ผู้รับที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน  (แบบ cell – mediated immunity)

 

เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ก็จะตอบสนองอย่างรวดเร็วในการโจมตีเชื้อโรคแปลกปลอมนั้น ตามขบวนการ 3R ดังนี้ 

1. ทำความรู้จัก Recognize คือ ทำความรู้จักกับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมนั้นก่อน ว่ามันคืออะไรกันแน่??  

2. ทำการโต้ตอบและทำลาย React (Respond) คือ การเตรียมการและจัดการโจมตีเชื้อโรคแปลกปลอมนั้นให้หมดไปจากร่างกาย 

3. จดจำเชื้อโรคและสารแปลกปลอมนั้น Remember คือ ระบบภูมิคุ้มกันจะจดจำรูปแบบเชื้อโรคหรือสารแอนติเจนของสิ่งก่อโรคนั้น เพื่อคราวต่อไป เมื่อมีการบุกรุกอีก ร่างกายจะทำการตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วทันที

 

 

 

 

ลักษณะการทำงานของทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ อธิบายให้ง่าย คือ ความสามารถในการส่งผ่านภูมิคุ้มกันแบบวัคซีนเม็ด จากผู้ให้ที่มีภูมิคุ้มกันไปสู่ผู้รับที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน  (แบบ cell – mediated immunity)

 

กล่าวคือ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ จะช่วยเร่งความเร็วของขั้นตอนการทำความรู้จัก และย่นระยะเวลาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้สั้นขึ้น ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดเชื้อโรคและสิ่งที่มาคุกคามได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยลง ตอบสนองได้เร็วสูงสุดภายใน 48-72 ชั่งโมงหลังจากได้รับทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์

 

 

 

 

 

 

เมื่อร่างกายมีการติดเชื้อไวรัส จะส่งสัญญาณให้ระบบภูมิคุ้มกัน หลั่งสาร Cytokine ออกมากระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันตื่นตัว ซึ่งเซลล์แรกที่จะตอบโต้เชื้อไวรัสคือ NK Cells (Natural Killer Cells หรือ เซลล์เพชฌฆาต) ซึ่งในภาวะปกติ NK Cells จะเริ่มกำจัดเชื้อไวรัสจากอาการติดเชื้อประมาณ 3.5 วันและหลังจาก 3-5 วัน T-Cell และระบบแอนตี้บอดี้ จะเริ่มทำงานและกำจัดเชื้อไวรัสให้สิ้นซาก

 

 

แต่ถ้าร่างกายได้รับ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor) NK Cells จะเริ่มกำจัดเชื้อไวรัสหลังจากมีการติดเชื้อแค่ 1.5 วัน ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น ลดการเจ็บป่วยและฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้รับประทาน ทรานเฟอร์ แฟกเตอร์

 

 

 

 

 

2.คอร์ดิเซ็พส์ (cordyceps sinensis)

          Cordyceps เป็นเห็ดชนิดหนึ่ง พบบริเวณภูเขาทางตอนใต้ของจีน ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ และ ยาบำรุงกำลังมากว่า 3000 ปี บำรุงปอด ไต  เพิ่มการผลิตสเปิร์ม  และรักษาโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หอบ หืด วัณโรค และโรคระบบทางเดินหายใจ (Steinkraus et al., 1994)  รับประทาน Cordyceps เป็นประจำจะช่วย ชะลอความแก่ และลดอาการอ่อนเพลีย  ขี้หนาว  มึนงง หูอื้อ  เสื่อมสมรรถภาพทาง เพศ และ ความจำเสื่อม (Cao & Wen, 1993;  Zhang et al., 1995)

          Cordyceps  มีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน  ซึ่งมีหลายการทดลองที่ยืนยันฤทธิ์กระตุ้นภูมิ คุ้มกันและปรับสมดุลย์ภูมิคุ้มกันของ Cordycepps (Koh et al., 1994; Kuo et al., 2005; Ng et al., 2005) จากการ ทดลองทางคลินิกในคนไข้มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด พบว่า Cordyceps สามารถฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันของคนไข้ได้ดี (Zhou & Lin 1995)

          Cordyceps มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และเนื้องอก (Chen et al., 1997; Kuo et al., 1994; Yoshida ,1989)  มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Li et al., 2001)  ลด Cholesterol และป้องกัน โรคหัวใจ (Chiou et al., 2000; Lou et al., 1986; Yamaguchi et al., 2000)

          ใน Cordyceps พบสารกลุ่ม Polysaccharides มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด (Kiho et al.,1996), ลดไขมันในเส้นเลือด (Kiho et al., 1996), กระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Gong et al., 1990), กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันรังสี ต้านมะเร็ง (Zeng et al., 1985), ต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Chen et al., 1997) นอกจากนี้ยังพบสารกลุ่ม Sterol (Ergosterol), Cordycepin (3-deoxyadenosine) และ Cordycepic acid


 

          ประโยชน์ทางยาของ Cordyceps  ใช้ในการรักษาโรคต่อไปนี้

  • โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด   ลดคลอเรสเตอรอล  และ ไขมันในเส้นเลือด
  • โรคตับ และ โรคระบบทางเดินอาหาร
  •  กระตุ้นและปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกันในผู้ที่ภูมิคุ้มกันผิดปรกติ ลดการอักเสบ ใช้เสริมในการรักษาเคมีบำบัด
  • บำรุง ร่างกาย ลดอาการอ่อนเพลียโดยเฉพาะในผู้ที่เจ็บป่วยร่างกายอ่อนแอ
  • ชะลอ ความแก่  เป็นยาอายุวัฒนะ
  •  เสื่อมสมรรถภาพทางเพศทั้งหญิงและชาย)
  • โรค ระบบทางเดินหายใจ    โรคปอด  และ หลอดลมอักเสบ

 

อ้างอิง: Institute for Natural Products Research, Cordyceps Monograph

 

 


3.สารสกัดจากใบมะกอก (Olive ฟleaf Extract)

 

ใบมะกอกใช้ทั่วไปในการรักษาโรคหวัด  แก้เชื้อรา  ไวรัส  มีฤทธิ์ลดคลอเรสเตอรอล (LDL)  ลดความดันโลหิต  ลดน้ำตาลในเลือด

ใบมะกอกมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงถึง  400 % ของวิตามิน ซี และ 2 เท่าของชาเขียว ช่วยปกป้องร่างกายจากการถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ  และใช้รักษามะเร็ง เช่นมะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในใบมะกอกได้แก่ Oleuropein, hydroxytyrosol และสารกลุ่ม Polyphenol อีกหลายตัว

 

Oleuropein (สารโอลิวโรเปอีน) เป็นสารที่ช่วยส่งเสริมความสามารถในการต่อต้านแบคทีเรียและกระตุ้นระบบภูมิต้านทานโดยตรง

 

 

          เนื่องจากใบมะกอกมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต และลดน้ำตาลในเลือด จึงต้องระวังในผู้ที่ได้รับยาลดความดันโลหิต และยาลดน้ำตาลในเลือด อาจเสริมฤทธิ์ยาได้

อ้างอิง:  Olive Leaf, Wikipedia, the free encyclopedia

 

 

 

 

4.เห็ดไมตาเกะ (Maitake Mushroom)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Glifola  frondosa


            กริโฟแลนด์ (Grifolan) และ ดีแฟรกชั่น (D-fraction) เป็นโพลีแซคคาไลด์ (โมเลกุลที่ประกอบด้วยโมเลกุลของน้ำตาลหลายๆ ตัวเชื่อมเข้าด้วยกัน) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถูกพบใน เห็ตไมตาเกะ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าสารนี้ช่วยสนับสนุนสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย นอกจากนั้นคุณประโยชน์อื่นๆ ของเห็ตไมตาเกะยังมีอีกมากมาย ทั้งในเรืองของการสนับสนุนสุขภาพด้านระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายและสนับสนุนการทำงานของระบบอินซูลินในร่าง กาย(เบาหวาน)อีกด้วย

 


 

 

5.เห็ดชิตาเกะ (Shitake Mushroom)
            เห็ตชิตาเกะถูกใช้เป็นยาจีนนานกว่า 6,000 ปี เป็นที่รับรู้มานานแล้วว่าคุณสมบัติของเห็ตชิตาเกะคือการช่วยส่งเสริมระบบ ภูมิคุ้มกัน เพราะประกอบด้วยสารสำคัญได้แก่ อีริตาเดนีน (Elitadenine) ซึ่งพบว่าเป็นสารที่ช่วยสนับสนุนให้มีระดับคลอเรสเตอรอลที่สมดุล นอกจากนั้นยังมี สารแอลเออโกไธโอนีน (L-ergothionine) ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากอีกชนิดหนึ่งทธิภาพสูงชนิดหนึ่ง

 

 

 

 

6.สังกะสี (Zinc)
            สังกะสีเป็นเกลือแร่จำเป็นที่พบได้ในเกือบทุกเซลล์ของร่างกาย สังกะสีมีความจำเป็นต่อชีวิตมาก เพราะสังกะสีมีหน้าที่ช่วยเหลือในกระบวนการทางชีวภาพของมนุษย์มากมาย และมีบทบาทที่สำคัญมากต่อเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิดในร่างกาย สังกะสีจึงมีประโยชน์มาต่อการสร้างสุขภาพที่ดี นอกจากนั้นสังกะสียังช่วยสนับสนุนความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง การรักษาแผล ช่วยรักษาความสามารถในการรับกลิ่นและรส รวมถึงการช่วยดูแลสุขภาพผิว และสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย

 

 

7.เห็ดบลาซีอิ (Agaricus-Blazei Mushroom)
           จากการศึกษาวิจัยร่วมกับสถาบันวิจัยในประเทศญี่ปุ่น พบว่า ในเห็ตบลาซีอิมีสารที่เป็น High Polysaccharides ที่มีคุณสมบัติต่อต้านเซลล์มะเร็งและป้องกันมะเร็งเนื้อร้ายชนิด Ascite cancer และเมื่อนำสารสกัดจากเห็ตบลาซีอิมาทดลองใช้ร่วมกับยาในการรักษาโรคมะเร็งพบ ว่าทำให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงขึ้น 4.8-6.3 เท่า อีกทั้งยังช่วยมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วต่อผลการรักษาแบบเคมีบำบัด นอกจากนั้นยังช่วยกระัตุ้นภูมิต้านทานในเซลล์ ทำให้ระดับของ Thy1 และ Thy2 positive cell และ เซลล์ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมมีระดับที่ดีและสูงขึ้น ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้โดยไม่ก่อผลข้างเคียง ช่วยเสริมสร้างการทำงานของตับ ส่งผลให้เกิดการควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีและมีไคลินที่มีคุณสมบัติป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เส้นเลือดตีบตัน รวมทั้งยังช่วยซ่อมแซมและรักษาเซลล์เม็ดเลือดแดงอีกด้วย

 

 

 

8.สารสกัดจากถั่วเหลือง (Soy Bean Extract)
           สารสกัดจากถั่วเหลืองอุดมไปด้วย เบต้าซิโตสเตอรอล (Bata Sitosterol) เป็นสารพฤษเคมีที่พบว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมหาศาล รวมทั้งยังช่วยในการสนับสนุนสุขภาพกระดูก การทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต รวมถึงการปรับสมดุลระดับคลอเรสเตอรอล นอกจากนั้นเบต้าซิโตสเตอรอลหรือโปรตีนจากถั่วเหลือง ยังให้กรดอะมิโนที่จำเป็นหลายชนิดในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับร่างกาย

 

9.เบต้ากลูแคน

 

 

10.IP6

 

 

 

11.สารสกัดจากว่านหางจรเข้

 

 

  (หมายเหตุ:การใช้ทรานสเฟอร์ แฟคเตอร์ ไม่ใช่ยารักษาและผลการใช้ ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน)

 

สอบถาม รายละเอียด เกี่ยวกับ Transfer Factor ประโยชน์และวิธีการใช้  ทรานสเฟอร์แฟกเตอร์ 

 

สำหรับเสริมสร้าง ระบบภูมิคุ้มกัน และเสริมสุขภาพ หรือแก้ปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันได้ที่

 

Tel.086-4624228 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คลิ๊ก ดูข้อมูลผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง

 

 

 

 

 

 

คลิ๊กเพิ่มเพื่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คลิ๊ก Add Friends  เพื่อเพิมเพื่อนไลน์