วันที่: 29-09-2018
ความรู้เบื้องต้นของระบบภูมิคุ้
เรียบเรียงโดย : รวงผึ้ง สุทเธนทร์
ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์มีอยู่
น้ำเหลือง (เป็นที่อยู่ของเซลล์เม็ดเลื
และเซลล์เม็ดเลือดขาว เชื่อมต่อระหว่างต่อมน้ำเหลื
เดินทัพของทหาร ม้าม ไขกระดูก ต่อมทอนซิล Payer's patch ที่อยู่ตามเยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นที่ตั้ง
ฐานทัพของทหาร
สิ่งแปลกปลอมต่างๆรวมทั้งจุลชี
น้ำเหลืองเฉพาะที่ และผ่านทางเส้นเลือดและท่อน้ำ
เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน
เซลล์ที่ทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้
1) เซลล์ที่ทำหน้าที่กินสิ่
2) เซลล์ที่มี granule จำนวนมาก ได้แก่ eosinophil, basophil และ
3) เซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดเล็กที่
และ T cells B cells ทำ หน้าที่ผลิตภูมิคุ้มกันชนิ
แล้วจึงเปลี่ยนเป็น plasma cells เพื่อสร้างแอนติบอดีจำเพาะต่
T cells ทำหน้าที่ด้
1) เซลล์ CD4 หรือ helper T (Th) cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มี
หน้าที่ส่งเสริมเรียกเซลล์เม็
เปลี่ยนเป็น cytotoxic T cells (CTL) ดังนั้น CD4+ T cells จึงมีความสำคัญมาก เพราะมีส่วนร่วมในการ
ทำให้มีภูมิคุ้มกันทั้งแบบเซลล์
2) เซลล์ CD8 หรือ killer cells หรือ suppressor cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มี
บนผนังเซลล์ ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ
เซลล์เม็ดเลือดขาวพวกนี้จะรู้
HLA class I ชนิดเดียวกับเซลล์เม็ดเลื
แอนติเจน (antigen) และตำแหน่งบนแอนติเจนที่
epitope กระตุ้น B-cell เพื่อสร้างแอนติบอดีจำเพาะ และ T-cell epitope กระตุ้น T-cell แอนติบอดี
แอนติบอดี หรือ อิมมูโนโกลบูลิน (immunoglobulin) เป็นโปรตีนที่มีรูปร่างคล้ายตัว Y เปรียบเหมือน
รถยนต์ ที่จะเปลี่ยนสีและรูปร่าง ตามลักษณะของเชื้อโรคที่
หลากหลายมากไม่เหมือนกันในแอนติ
ตำแหน่งที่จับกับแอนติเจน ส่วนที่โคนตัว Y ของโมเลกุลแอนติบอดีจะบ่งบอกถึ
class ไหน เช่น IgG, IgA, IgM, IgD, IgE เรียกว่า constant region แอนติบอดีกระจายอยู่ตามท่อน้ำ
เหลือง และเส้นเลือด แอนติบอดีจะจับกับสิ่งแปลกปลอม หรือจุลชีพที่เข้ามาในร่างกาย เพื่อการทำลายจุลชี
พนั้นๆ แอนติบอดีชนิด secretory IgA จะอยู่ตามช่องเยื่อบุต่างๆ ในน้ำตา น้ำลาย สารหลั่งในช่องทางเดิน
อาหาร ทางเดินหายใจ ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด เป็นต้น เพื่อยับยั้งไม่ให้จุลชีพ หรือสิ่งแปลกปลอมผ่านเข้า
ร่างกายทางเยื่อบุ Cytokines เป็นโปรตีนที่สร้างจากเซลล์
และ B- cells ที่เรียกว่า lymphokines ได้แก่ interleukin (IL)และ interferon ส่วนที่สร้างจาก monocytes
และ macrophage เรียกว่า monokines โดย cytokines ที่หลั่งออกมาอาจทำหน้าที่เรี
ขาวให้มารวมกันที่ตำแหน่งที่ มีสิ่งแปลกปลอม กระตุ้นการเพิ่มจำนวนเซลล์ ทำให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันมี
การเปลี่ยนแปลง และ ทำลายเซลล์
ระบบ Complement
เป็นระบบที่ประกอบด้
แบคทีเรีย โดยที่โปรตีนเหล่านี้อยู่
จาก โปรตีน C1 ถูกกระตุ้นด้วยแอนติบอดีที่จั
การกระตุ้นโปรตีนในระบบอย่างต่
เซลล์จึงถูกทำลาย Major histocompatibility complex (MHC)
Peter Gorer เป็นผู้กล่าวถึง MHC ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1936
เกี่ยว กับแอนติเจนที่ผิวเซลล์เม็ดเลื
กลุ่มแอนติเจนที่ สำคัญกับการรับหรือ ต่อต้านการเปลี่ยนอวัยวะ ที่เรียกว่า histocompatibility antigens และเรียกชื่อว่า
histocompatibility-2 (H-2) จนกระทั่งในช่วงปลายทศวรรษ 1960 จึงพบความเกี่ยวข้องแอนติเจนนี้
การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน และแบ่งเป็นสองชนิดตามตำแหน่
ในมนุษย์มีการพบว่า human leukocyte antigen (HLA) system นั้นเป็นกลุ่มของยีนที่สร้
เหมือน MHC genes ในหนู โดยที่ class I คือ HLA-A, -B, -C และ class II คือ HLA-DP, DQ และDR
แอนติเจนทั้งสอง classes ถูกสร้างอยู่ที่ผิวเซลล์ เกี่ยวข้องกับแอนติเจนที่แสดงว่
เอง ปกติแอนติเจน MHC class I จะพบเพียง 1% ของโปรตีนที่อยู่ที่ผิวเซลล์ทั่
เมื่อถูกกระตุ้นด้วย cytokines บางชนิด เช่น interferon gamma สำหรับ Class II MHC อยู่ที่ผิวเซลล์
เฉพาะ เช่น dendritic cells, macrophage, B cells, activated T-cells Natural killer หรือ NK cells
อินเตอร์เฟอรอน (Interferon) ที่ถูกสร้างขึ้นจากเซลล์ที่ติ
ไปทำลายเซลล์ติดเชื้อไวรั
ทำลายเซลล์นั้นแต่ไม่ทำลายเซลล์
มาจับที่ผิวเซลล์ตรงที่มีส่วน epitopes ของไวรัสปรากฎอยู่ จะทำให้เซลล์ NK และ CTL มาทำลายเซลล์นั้น
ได้ เรียกว่า Antibody dependent cellular cytotoxicity (ADCC) การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่
จุลชีพที่จะผ่านเข้าสู่ร่างกาย อาจผ่านเข้าทางผิวหนัง หรือเยื่อบุต่างๆ ซึ่งเป็นที่ๆมีการป้องกันด้วยคุ
ทางกายภาพของผิวหนังและเยื่อบุ
จะเป็นแบบ innate immunity ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันแบบไม่
เซลล์ macrophage dendritic และ granulocytes เป็นต้น ทำหน้าที่กินและทำลายสิ่
แอนติบอดีชนิด IgA และสารหลั่งที่เคลือบตามเยื่อบุ มี lysozyme, lactoferin, หรือภาวะเป็นกรด หรือการ
เคลื่อนไหวที่บริเวณของผิวเยื่
มา โดยปกติตามเยื่อบุและผิวหนังก็
สามารถผ่านเข้าร่างกายทางชั้นผิ
specific defenses หรือเป็นภาวะที่ผิวหนังและเยื่
การเกิดภาวะอักเสบ (inflammation response) เป็
สำคัญ เกิดจากกลุ่มเซลล์ที่ถู
เซลล์ mast ที่ถูกกระตุ้นจากระบบ complement โดยที่เซลล์ต่างๆเหล่านี้จะหลั่
การอักเสบ ได้แก่ เซลล์ mast หลั่ง histamine ทำให้เส้นเลือดขยายตัว (vasodilate) และผนังเส้นเลือด
เปิดให้เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ถู
prostaglandins ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เกิดไข้และเจ็บปวด และ leukotrienes มีคุณสมบัติเป็น
chemotaxis ดึงดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวให้มายั
leukotrienes สร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาว และเซลล์ทั่วไปที่ถูกกระตุ้
ขาว โดยเฉพาะ lymphocytes และ macrophage ที่มายังบริเวณที่ติดเชื้อจะหลั่
การตอบสนองแบบไม่จำเพาะ ได้แก่ interleukin 1 (IL-1) และ tumor necrosis factor (TNF) ที่ทำให้
เกิดอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไข้ และที่สำคัญ คือ กระตุ้นให้มีเซลล์เม็ดเลื
การตอบสนองระบบภูมิคุ้มกั
ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูก ทำลายไป Antigen Receptors
ทั้ง B- และ T- cells มีโมเลกุล receptors ที่ผิวเซลล์เพื่อจับกับแอนติเจน สำหรับ B-cell เป็นโมเลกุลขอ
งอิมมูโนโกลบูลินที่เกาะที่ผิ
ซ้อนกว่า ที่จะจำและจับกับแอนติเจนที่
การกระตุ้น B Cells ให้สร้างแอนติบอดี B-cell จะจับกับแอนติเจนที่จำเพาะด้วย antibody receptor ที่ผิวเซลล์ และนำส่วนแอนติเจนเข้ามาใน
เซลล์ เปลี่ยนแปลงและนำเสนอที่ผิ
ถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจนที่ถู
เปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็น plasma cell เพื่อสร้างแอนติบอดีต่อไป
เมื่อเริ่มได้รับจุลชีพครั้
หลังจากที่ได้รับจุลชีพปริ
สนองแบบนี้ว่า primary response เมื่อได้รับจุลชีพนั้นอีกครั้
ภายใน 24 ชั่วโมง เรียกการตอบสนองแบบนี้ว่า secondary response
แอนติบอดียับยั้งการติดเชื้อ ด้วยการ neutralize กับจุลชีพนั้น โดยใช้ส่วนปลายโมเลกุลอิมมูโน
โกลบุลินรูปตัว Y จับกับจุลชีพ ถ้าเป็นไวรัส จะทำให้ไวรัสนั้นไม่เข้าสู่
complement ทำลายจุลชีพ หรือกระตุ้นระบบ ADCC การกระตุ้น T cells: Helper และ Cytotoxic
เมื่อ antigen-presenting cells (เช่น macrophage, dendritic cells) กินจุลชีพหรือสิ่งแปลกปลอม
แอนติเจนจะถูกเปลี่
มีการหลั่ง lymphokines ซึ่งจะไปทำให้ T cells ชนิดต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง เช่น Th cells เพิ่มจำนวน
และเปลี่ยนแปลงเป็น memory cells CD8+ T cells เป็น cytotoxic T lymphocyte (CTL) ซึ่งจะไป
ทำลายเซลล์ติดเชื้อที่มีแอนติ
จุลชีพบางชนิดเป็น intracellular เช่น ไวรัส และ mycobacteria เมื่อถูกกินด้วย macrophage จะไม่ถูก
ทำลายแต่จะอยู่ในเซลล์และเพิ่
จำเป็นต้องใช้เซลล์ CTLs มาทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสนี้
ทำลายจุลชีพ Mycobacteria ได้ perforin ซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกสร้
ภายในเซลล์ มีส่วนในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้
จากเซลล์ CTL ด้วยเช่นกัน เช่น interferon-g (IFN- g) ที่ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรั
การกระตุ้นเอนไซม์ 2 ชนิด คือ 2', 5' oligo-A synthetase ซึ่งไปทำให้เอนไซม์ Rnase L เปลี่ยนจาก
inactive เป็น active form ย่อยยีโนมอาร์เอ็นเอ และ mRNAs ของไวรัส กับ เอนไซม์ p68 kinase ซึ่งไป
ทำให้ eIF-2a เปลี่ยนจาก active เป็น inactive form ยับยั้งการเริ่มสร้างโปรตี
necrosis factor (TNF) กระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเชื้
(LTR), chemokines ได้แก่ MIP-1a, MIP-b, RANTES ซึ่งไปยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรั
กับ CCR5 เซลล์ CTL ยังสร้างสารยับยั้งไวรัส เรียกว่า CD8+ T-cell antiviral factor (CAF) ซึ่งไปยับยั้ง
การสร้าง mRNAs จากส่วน LTR ที่เป็น promoter ของเชื้อเอชไอวี
เมื่อ B- และ T- cells ถูกกระตุ้นจะมีการเปลี่
เสนอแอนติเจนชนิดเดิมอีกครั้ง ระบบภูมิคุ้มกันที่มี memory B-, T- cells จะเข้ามาทำลายแอนติเจนนั้น
อย่างรวดเร็ว การเกิดภาวะ Long-term immunity นี้อาจเกิดจากการติดเชื้
ได้รับวัคซีน ในระยะแรกของการติดเชื้อ ปริมาณเซลล์ CTL จะเพิ่มขึ้นตามปริมาณไวรัสที่
ปริมาณไวรัสในเลือดลดลง และความสัมพันธ์ของปริมาณ CTLs กับปริมาณไวรัสจะแปรผกผันกั
ระยะเวลาการติดเชื้อเอชไอวี
ไวรัสมีวิธี
ปัจจัยของไวรัสและเซลล์ในระบบภู
MHC1 ที่ผิวเซลล์ที่ติดเชื้อ การเพิ่มจำนวนภายในเซลล์ระบบภู
ซึ่งเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันเข้
ด้านปัจจัยไวรัส ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงลักษณะของแอนติ
โดยระบบภูมิคุ้มกันเดิม การแพร่กระจายจากเซลล์ถึงเซลล์
syncytial virusปัญหาความล้มเหลวของระบบภูมิคุ้
แบบค่อยเป็นค่อยไปจนเกิดภาวะภู
เมื่อแรกเริ่มได้รับเชื้
ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลล์
ชไอวี เริ่มจาก T helper-cell ที่สร้าง cytokines ต่างๆ และกระตุ้น CD8+ T cell ให้เปลี่ยนเป็นเซลล์
CD8+ CTL และ B-cell ให้เปลี่ยนเป็น plasma cell เพื่อสร้างแอนติบอดีจำเพาะ โดยที่เซลล์ CTL ทำ
หน้าที่หลักในการกำจัดเซลล์ที่
ไวรัสอิสระที่หลุดออกมาจากเซลล์
จะมีความสำคัญในการป้องกันการติ
ครั้งต่อไป แต่ในการติดเชื้อเอชไอวี ถึงแม้จะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้
ถูกกำจัดออกไปจากร่างกาย และยังเพิ่มปริมาณมากขึ้นเป็
10(11) อนุภาคต่อวัน ทำให้ระดับไวรัสเพิ่มขึ้น 0.1 log/ml และระดับเซลล์ CD4 ลดลงประมาณ 50-100
เซลล์/ม.ม. ต่อปี จึงมีผลทำให้เซลล์ที่ติดเชื้อ ซึ่งก็คือ เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทั้ง T-cells และ
macrophage ลดปริมาณลงเป็นลำดับ จนไม่สามารถทำงานเป็นปกติ
จึงเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้ยังพบว่ามี
(CD45RA+CD62L+) แต่มีการเพิ่มของเซลล์ CD4 ชนิด activated/memory effector (CD45RO+)
และมีการลดลงของ T-cell receptor และการทำงานก็เสียด้วย
การทำลายเซลล์ CD4+ ที่ติดเชื้อมีสาเหตุจากการเกิด apoptosis ซึ่งเป็นผลของโปรตีนไวรัสสองชนิ
โปรตีน Env และ Vpr การสูญเสียหน้าที่ของเซลล์
สะสมของโพรไวรัลดีเอ็นเอที่อยู่
เซลล์ CD4+ ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี มีสาเหตุจาก โปรตีน Env (gp120) ที่ลอยอยู่ในกระแสเลือดไปจับกับ
โมเลกุล CD4+ ของเซลล์ที่ไม่ติดเชื้อ ทำให้ถูกทำลายโดย apoptosis จากเซลล์ CTL หรือการเกิด
syncytia กับเซลล์ที่ติดเชื้อ
เชื้อเอชไอวีมีการกลายพันธุ์สูง เนื่องจากการทำงานของเอนไซม์ reverse transcriptase ของไวรัสที่
เปลี่ยนยีโนมของไวรัสจากอาร์เอ็
มีการผิดพลาดไป 1 เบส ต่อการ replication 1 ครั้ง ผลก็คือแอนติเจนของไวรัสที่
ภูมิคุ้มกันเปลี่ยนไปตลอดเวลา จนเซลล์ CTL ไม่สามารถทำลายเซลล์ติดเชื้อได้
แอนติเจนตรงที่เป็น T-cell epitopes อาจเปลี่ยนไปจนไม่สามารถถู
เสนอร่วมกับ HLA แต่มีรูปร่างที่ผิดไป ทำให้ killer cells หรือเซลล์ CTL จดจำไม่ได้และไม่ทำลายเซลล์ที่
ติดเชื้อนั้น หรือแอนติเจนที่เปลี่ยนไปจนไม่
จึงทำให้เซลล์ CTL ไม่สามารถควบคุมกำจัดเชื้
persisting ชนิดอื่น แต่กลไกต่างกัน เช่น Epstein Barr virus ใช้กลยุทธ์ไม่สร้างโปรตี
ที่ติดเชื้อ แอบแฝงอยู่ อย่างไรก็ตามการทำงานของเซลล์ CTL จะต้องถูกส่งเสริมด้วย Th-cells ซึ่งก็ถูก
ทำลายเป็นลำดับในระหว่างการติ
หลังการดำเนินการของโรคผ่านไป ในผู้ติดเชื้อบางราย โมเลกุล HLA อาจสามารถนำเสนอแอนติเจนใน
ส่วนที่ไม่กลายพันธุ์ได้ (conserved region) ทำให้เชื้อเอชไอวีถูกควบคุมด้วย CTL ได้ดี จึงมีการดำเนิน
โรคแบบ non-progressor หรือ ไวรัสเองอาจเป็นชนิดที่กลายพั
ในภาวะที่ไม่มี killer cells ผู้ติดเชื้อเอชไอวีก็จะมี
ภูมิคุ้มกันที่สำคัญในการควบคุ
ทำงานที่ล้มเหลวของ killer T cell ทำให้เกิดภาวะการติดเชื้
วัคซีนเอดส์ต้องมุ่งเน้นเรื่
ต่อเชื้อเอชไอวีอาจทำให้เชื้
ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อเอชไอวี ดังนั้นหลังจากที่ได้รับเชื้อภู
ชั่วคราว เซลล์ที่ติดเชื้อจะถูกทำลายด้
เซลล์ใหม่ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้
|
|
|